Download เดินจิต พระมหาวรพรต กิตติวโร APK latest version Free for Android
Version | 1.0 |
Update | 3 years ago |
Size | 7.65 MB (8,018,179 bytes) |
Developer | VUStudio |
Category | Apps, Social |
Package Name | com.vustudio.duenjit |
OS | 4.0.3 and up |
เดินจิต พระมหาวรพรต กิตติวโร APPLICATION description
"Walk the Mind", transmit the dharma from mind to mind by Phra Mahaworaphon Kittiwaro
ฉายา : พระมหาวรพรต กิตติวโร นามเดิม วรพรต จริตเอก
เกิด : 21 มิถุนายน 2525
สังกัด : วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา
อุปสมบท : 1 ธันวาคม 2550
วิทยฐานะ : นักธรรมเอก เปรียญธรรม 6 ประโยค
สถานที่จำพรรษา : ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯเขมรังสี จ.พระนครศรีอยุธยา
ท่านสนใจมุ่งสู่ทางธรรมตั้งแต่ยังวัยรุ่น สละชีวิตทางโลก อยู่กับการปฏิบัติ
จนกลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ชี้แนะและสอนการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางสติปัฎฐาน 4
ด้วยวิธี “จิตสู่จิต” หรือที่เรียกว่า “เดินจิต”
" อาตมาติดตรงจิตผู้รู้อยู่เป็นสิบ ๆ ปี "
ตอนวัยรุ่นอายุ 17-18 อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา
เบื่อเพื่อน เบื่อความวุ่นวาย เบื่อการเที่ยว
รู้สึกเบื่อขึ้นมาก็เลยอยากอยู่คนเดียว
อยู่คนเดียวก็อยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร
.
ก็เลยภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ ไปถึงจุดหนึ่ง
อยู่ดี ๆ พุทโธ มันหายไป เหลือแต่ตัวรู้ความรู้สึกตัว
แล้วก็เหลือแต่ตัวรู้ขึ้นมา กายมันหลับไป
แต่จิตมันก็ตื่นรู้อยู่อย่างนั้นแหละ
ก็เลยเข้าใจเรื่องของตัวรู้ ตอนนั้นยังไม่รู้มันคืออะไรหรอก
แต่รู้ว่ามันสงบแล้วก็จะรู้สึกว่าเรานี่อยู่กับโลกยากแล้วนะ
.
เริ่มเห็นโทษภัยของความคิด ความปรุงแต่งว่ามันทุกข์จริง ๆ
ก็ใช้เวลาปรับตัว เลยเริ่มศึกษาธรรมะเพราะสนใจสภาวะนิพพาน
ของหลวงพ่อพุทธทาสของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ
.
เมื่อมีโอกาสได้มาบวชที่วัดมเหยงคณ์หลวงพ่อท่านก็สอนวิปัสสนา
สอนจิตผู้รู้บ้าง ก็เลยเข้าใจเลย เพราะว่าเราอยู่กับสภาวะนี้มา
ตัวรู้เนี่ยเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
.
หลวงพ่อก็ให้อยู่กับตัวรู้มาเรื่อย ๆ แล้วก็ได้เรียนบาลีจนประโยค 7
ศึกษาด้วย ทำงานที่วัดด้วย
จนรู้สึกว่าพอแล้วอยากจะปฏิบัติอย่างเต็มที่
ก็เลยขอหลวงพ่อเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อก็อนุญาต
ฝึกปฏิบัติก็มาติดตรงจิตผู้รู้เหมือนเดิม ตั้งแต่ 17 จะ 30 มั้ง
12-13 ปีนี้เข้าไปละเอียดมาก
.
แต่ไม่รู้ไปยังไงต่อ ทีนี้พอฟังเวลาหลวงพ่อบรรยายธรรม
หลวงพ่อจะยกพระสูตรขึ้นมา พอเราฟังรู้สึกมันดื่มด่ำมาก
แล้วยิ่งเราเรียนมาด้วยเราจะฟังแล้วเราเข้าใจหมด
จึงสนใจที่จะศึกษาพระไตรปิฎก
ก็เลยมาศึกษาในส่วนของอานาปานสติ 16 ขั้น
.
ก็มาเจอคำนี้แหละเมื่อจิตตั้งมั่น
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า เปลื้องจิต
หรือทำจิตให้ปล่อยอยู่ พอเจอคำว่าเปลื้องจิต
อยู่ดีมันเกิดความเบิกบาน
พอเบิกบานสภาวะทุกอย่างเกิดการแยกธาตุ แยกขันธ์
สรรพสิ่งแตกดับอยู่ท่ามกลางความว่าง
สภาวะนี้เกิดจากวิปัสสนาญาณ
หรือที่ภาษาพระเรียกว่า “ธรรมจักษุ” ปรากฏขึ้น
เห็นโลกในอีกแบบหนึ่งตามความเป็นจริง
ก็เลยรู้ว่ามีอะไรที่ต้องไปต่ออีกเยอะเลย
.
เลยทำให้ศึกษาอานาปานสติขั้นต่อไป ทำให้รู้ขั้นลำดับญาณ
เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย
จนปล่อยวางทุกสรรพสิ่งเข้าถึงวิสังขาร
ภาวะที่มันไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีแต่ความบริสุทธิ์ เป็นภราดรภาพ
.
ถึงแม้ว่าความสุขในสมาธิจะประณีตแล้ว
ก็ยังมีการปรุงแต่งและมีความแปรปรวนอยู่
แต่ภาวะนี้ไม่มีความแปรปรวน ไม่มีความปรุงแต่ง
เป็นภราดรภาพ นี้แหละคือแก่นของพระพุทธศาสนา
.
โดยส่วนตัวมีประสบการณ์มาติดตัวนี้10กว่าปี ก็เลยอยากที่จะแนะนำ
ซึ่งจากที่สอนญาติโยมมาก็พบว่าโยมเข้ามาติดตรงนี้เยอะ
พอผ่านได้แล้วมันก็ไปต่อได้อีกเยอะเลย
.
จากตอนนั้นย้อนกลับไปถึงตอนที่เป็นฆราวาส
เหมือนตอนนี้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
เราจะอยู่ไปทำไม เป็นช่วงที่เรามีความสามารถ
แต่เราทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ
กลายเป็นการค้างคาอะไรหลาย ๆ อย่าง
และรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
.
พอมาถึงตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นสลายไปหมดแล้ว
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ และมีใจที่อยากเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น
ให้เขาได้มีการตื่นรู้และพัฒนาตนเอง ให้เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
.
พอมีโอกาสได้ถ่ายทอดและแนะนำ แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถก้าวข้าม
หรือพัฒนาไปต่อได้ จึงเป็นที่มาของการถ่ายทอดธรรม
เรื่องของการถ่ายทอด “จิตสู่จิต”
เมื่อเกิดกระบวนการถ่ายทอดธรรมจากจิตสู่จิต
ผู้ปฏิบัติจะสามารถยกระดับสภาวธรรม
เข้าสู่สภาวะในระดับที่สูงขึ้นไปในแต่ละขั้นได้
เกิด : 21 มิถุนายน 2525
สังกัด : วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา
อุปสมบท : 1 ธันวาคม 2550
วิทยฐานะ : นักธรรมเอก เปรียญธรรม 6 ประโยค
สถานที่จำพรรษา : ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯเขมรังสี จ.พระนครศรีอยุธยา
ท่านสนใจมุ่งสู่ทางธรรมตั้งแต่ยังวัยรุ่น สละชีวิตทางโลก อยู่กับการปฏิบัติ
จนกลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ชี้แนะและสอนการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางสติปัฎฐาน 4
ด้วยวิธี “จิตสู่จิต” หรือที่เรียกว่า “เดินจิต”
" อาตมาติดตรงจิตผู้รู้อยู่เป็นสิบ ๆ ปี "
ตอนวัยรุ่นอายุ 17-18 อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา
เบื่อเพื่อน เบื่อความวุ่นวาย เบื่อการเที่ยว
รู้สึกเบื่อขึ้นมาก็เลยอยากอยู่คนเดียว
อยู่คนเดียวก็อยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร
.
ก็เลยภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ ไปถึงจุดหนึ่ง
อยู่ดี ๆ พุทโธ มันหายไป เหลือแต่ตัวรู้ความรู้สึกตัว
แล้วก็เหลือแต่ตัวรู้ขึ้นมา กายมันหลับไป
แต่จิตมันก็ตื่นรู้อยู่อย่างนั้นแหละ
ก็เลยเข้าใจเรื่องของตัวรู้ ตอนนั้นยังไม่รู้มันคืออะไรหรอก
แต่รู้ว่ามันสงบแล้วก็จะรู้สึกว่าเรานี่อยู่กับโลกยากแล้วนะ
.
เริ่มเห็นโทษภัยของความคิด ความปรุงแต่งว่ามันทุกข์จริง ๆ
ก็ใช้เวลาปรับตัว เลยเริ่มศึกษาธรรมะเพราะสนใจสภาวะนิพพาน
ของหลวงพ่อพุทธทาสของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ
.
เมื่อมีโอกาสได้มาบวชที่วัดมเหยงคณ์หลวงพ่อท่านก็สอนวิปัสสนา
สอนจิตผู้รู้บ้าง ก็เลยเข้าใจเลย เพราะว่าเราอยู่กับสภาวะนี้มา
ตัวรู้เนี่ยเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
.
หลวงพ่อก็ให้อยู่กับตัวรู้มาเรื่อย ๆ แล้วก็ได้เรียนบาลีจนประโยค 7
ศึกษาด้วย ทำงานที่วัดด้วย
จนรู้สึกว่าพอแล้วอยากจะปฏิบัติอย่างเต็มที่
ก็เลยขอหลวงพ่อเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อก็อนุญาต
ฝึกปฏิบัติก็มาติดตรงจิตผู้รู้เหมือนเดิม ตั้งแต่ 17 จะ 30 มั้ง
12-13 ปีนี้เข้าไปละเอียดมาก
.
แต่ไม่รู้ไปยังไงต่อ ทีนี้พอฟังเวลาหลวงพ่อบรรยายธรรม
หลวงพ่อจะยกพระสูตรขึ้นมา พอเราฟังรู้สึกมันดื่มด่ำมาก
แล้วยิ่งเราเรียนมาด้วยเราจะฟังแล้วเราเข้าใจหมด
จึงสนใจที่จะศึกษาพระไตรปิฎก
ก็เลยมาศึกษาในส่วนของอานาปานสติ 16 ขั้น
.
ก็มาเจอคำนี้แหละเมื่อจิตตั้งมั่น
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า เปลื้องจิต
หรือทำจิตให้ปล่อยอยู่ พอเจอคำว่าเปลื้องจิต
อยู่ดีมันเกิดความเบิกบาน
พอเบิกบานสภาวะทุกอย่างเกิดการแยกธาตุ แยกขันธ์
สรรพสิ่งแตกดับอยู่ท่ามกลางความว่าง
สภาวะนี้เกิดจากวิปัสสนาญาณ
หรือที่ภาษาพระเรียกว่า “ธรรมจักษุ” ปรากฏขึ้น
เห็นโลกในอีกแบบหนึ่งตามความเป็นจริง
ก็เลยรู้ว่ามีอะไรที่ต้องไปต่ออีกเยอะเลย
.
เลยทำให้ศึกษาอานาปานสติขั้นต่อไป ทำให้รู้ขั้นลำดับญาณ
เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย
จนปล่อยวางทุกสรรพสิ่งเข้าถึงวิสังขาร
ภาวะที่มันไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีแต่ความบริสุทธิ์ เป็นภราดรภาพ
.
ถึงแม้ว่าความสุขในสมาธิจะประณีตแล้ว
ก็ยังมีการปรุงแต่งและมีความแปรปรวนอยู่
แต่ภาวะนี้ไม่มีความแปรปรวน ไม่มีความปรุงแต่ง
เป็นภราดรภาพ นี้แหละคือแก่นของพระพุทธศาสนา
.
โดยส่วนตัวมีประสบการณ์มาติดตัวนี้10กว่าปี ก็เลยอยากที่จะแนะนำ
ซึ่งจากที่สอนญาติโยมมาก็พบว่าโยมเข้ามาติดตรงนี้เยอะ
พอผ่านได้แล้วมันก็ไปต่อได้อีกเยอะเลย
.
จากตอนนั้นย้อนกลับไปถึงตอนที่เป็นฆราวาส
เหมือนตอนนี้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
เราจะอยู่ไปทำไม เป็นช่วงที่เรามีความสามารถ
แต่เราทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ
กลายเป็นการค้างคาอะไรหลาย ๆ อย่าง
และรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
.
พอมาถึงตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นสลายไปหมดแล้ว
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ และมีใจที่อยากเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น
ให้เขาได้มีการตื่นรู้และพัฒนาตนเอง ให้เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
.
พอมีโอกาสได้ถ่ายทอดและแนะนำ แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถก้าวข้าม
หรือพัฒนาไปต่อได้ จึงเป็นที่มาของการถ่ายทอดธรรม
เรื่องของการถ่ายทอด “จิตสู่จิต”
เมื่อเกิดกระบวนการถ่ายทอดธรรมจากจิตสู่จิต
ผู้ปฏิบัติจะสามารถยกระดับสภาวธรรม
เข้าสู่สภาวะในระดับที่สูงขึ้นไปในแต่ละขั้นได้
↓ Read more